10. Music and Lyrics

 Music and Lyrics

"ถ้าเธอเป็นเนื้อร้อง ฉันจะเป็นทำนอง"

1.ฟ้งเพลงช่วยฝึกฟังได้เยอะขึ้นเลย โดยเฉพาะมีเนื้อร้อง ทำให้ฟังได้เป็นคำ ๆ

2.และทำให้จำเนื้อเพลงได้ดี  

9.การฝึกพูดภาษาอังกฤษกับตัวเอง

ฝึกพูดภาษาอังกฤษกับตัวเองทุกวัน

1. ภาษาไทยเขาพูดว่าอย่างนี้ แล้วภาษาอังกฤษเขาพูดว่าอย่างไร (เช่น กิน = Eat )
2. พูดคนเดียวเป็นภาษาอังกฤษโดยนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน สิ่งที่ได้คือทำให้สมองได้ฝึกคิด
3. จำลองเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น ในร้านกาแฟ จะพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไร ? ประเด็นอะไร ?

8.การเขียนคัดลอกบทความ

การเขียนคัดลอกบทความภาษาอังกฤษ

สิ่งที่ได้จากการเขียนคัดลอกบทความ

1.คัดลายมือ

2.การเขียนทำให้เราท่องคำศัพท์ในขณะเขียน อ่านเต็มคำแล้ว อ่านตัวอักษรที่ละตัว 

   เช่น bible = b-i-b-l-e = bible ทั้งเป็นการฝึกออกเสียงไปในตัว 

3.ทำให้สงสัยในโครงสร้างประโยคต่าง ๆ
4.ทำให้รู้ว่ายังมีคำศัพท์ที่เราไม่รู้ (แนวทางแก้ไขเข้าไปดูความหมายใน Google translate 

      !! เมื่อเข้าไปพิมพ์พบว่าเราต้องหัดพิมพ์ภาษาอังกฤษเพราะกว่าจะค้นหาแต่ละตัวอักษรในแป้นพิมพ์นั้นยากเหลือ
แผนการต่อไปคือ หัดฝึกพิมพ์ภาษาอังกฤษ !!

7.เพิ่งรู้ว่าการเรียนควรเริ่มจากคำถามในตัวเอง

เมื่ออ่านบทความภาษาอังกฤษแล้วพบว่า

1.สาเหตุหลักอ่านออกแล้วแต่ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ สาเหตุสำคัญคือไม่รู้คำศัพท์

2.ไม่รู้โครงสร้างประโยค (อดีต ปัจุบัน อนาคต) 

6.หลังจากดูหนังช่อง HBO

หลังจากดูหนังช่อง HBO แล้ว

1.ฟังได้เฉพาะคำศัพท์ที่เรารู้จัก เคยได้ยิน (เพราะฉะนั้นแล้ว เราต้องรู้คำศัพท์เยอะๆ )
2.เสียงของนักแสดงแต่ละคนฟังยากง่ายไม่เหมือนกัน
3.การดูภาพประกอบทำให้เราเข้าใจมากขึ้น

5.ฝึกเขียนเยอะ ๆ

เราได้อะไรจากการฝึกเขียน

1.สร้างความคุ้นเคยกับคำศัพท์

2.ทำให้รู้ว่ามีคำศัพท์ที่เรายังไม่รู้อีกเยอะ

3.ทำให้สงสัยในโครงสร้างของประโยค

4.ทำให้รู้ว่าคำศัพท์แต่ละคำประกอบด้วยตัวอักษรอะไรบ้าง 

5.ทำไมมีทั้ง s, es, ed ฯลฯ 

6.เป็นการฝึกอ่านอย่างช้าที่สุด

4.สร้างความคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษด้วยการคัดลอกบทความ

สร้างความคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษด้วยการคัดลอกบทความ

   

     ได้รับคำแนะนำจากคุณทอม ชาวอังกฤษ "คุณจะเก่งภาษาได้ต้องฝึกเขียนด้วย" เพราะการฝึกการเขียนเป็นการสร้างความคุ้ยเคยและทำให้รู้ว่าศัพท์แต่ละคำเขียนอย่างไร มีตัวอักษรอะไรบ้างที่เป็นองค์ประกอบ สำหรับบทความที่ใช้เขียนของผมเป็นเรื่องราวของ Steve Jobs

 

" ปัญหาต่อมาแล้วคำที่มาเรียงต่อกันเป็นประโยคเขามีวิธีการอย่างไร มีโครงสร้างอย่างไร " 

3.ไม่รู้คำศัพท์ทำอย่างไรดี

ไม่รู้คำศัพท์ทำอย่างไรดี ?

    แต่ก่อนกว่าจะค้นหาคำศัพท์แต่ละคำได้ต้องเปิดดิกชั่นนารี กว่าจะหาเจอแต่ละคำต้องใช้เวลา แต่ปัจจุบันใช้ Google translate ( https://translate.google.co.th )ช่วยในการค้นหาคำศัพท์และค้นหาได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างการออกเสียงให้เราได้ฟังสำเนียงอีกด้วย
   ไม่รู้คำศัพท์ทำอย่างไรดี มีวิธีการเดียว คือ "ต้องจำให้ได้"

2.Listening เริ่มฟังอย่างจริงจัง

Listening เริ่มฝึกฟังอย่างจริงจัง

เมื่อเริ่มฟังอย่างจริงจังแล้วพบว่า ปัญหาเราคือ "ฟังไม่ได้ศัพท์เลย ฟังไม่ออกเลย" สิ่งที่เราเคยเรียนเคยรู้มามันใช่ไม่ได้เลย แต่ที่เราดูการนำเสนอ iPhone ของ Steve Jobs ที่เราฟังไม่ออก แต่เป็นเพราะการนำเสนอที่สุดยอดของเขา การสาธิต มีภาพประกอบการบรรยายต่างหากที่ทำให้เราเข้าใจ (https://www.youtube.com/watch?v=Fx3Fz6bpi5E) จากนั้นก็เปลี่ยนมาฝึกฟังโดยดู Subtitles ฟังไปด้วย อ่านไปด้วย ทำให้เริ่มรู้ว่าเสียงนี้เป็นคำอะไร 
ถ้าเปรียบกาเรียนรู้ภาษาอังกฤษในช่วงนี้ เหมือนกับการหัดขี่จักรยาน ที่มีคนช่วยประคองไม่ให้ล้ม คือ Subtitles นั้นเอง

!! ปัญหาต่อมาคือเริ่มฟังออกแล้วแต่แปลไม่ได้ “เราไม่รู้คำศัพท์” !!

1.startup นี้คือจุดเริ่มต้นของผม

Startup นี่คือจุดเริ่มต้นของผม

สำหรับการเรียนรู้ภาษอังกฤษด้วยตัวเอง หลังจากที่ผมได้ไปซื้อโทรศัพท์ iPhone เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2559 เมื่อนำมาใช้แล้วรู้สึกประทับใจในผลิตภัณฑ์ จึงอยากรู้ที่มา ที่ไป ของเจ้า iPhone จึงได้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติ ไปเปิดเจอคลิปผ่านทาง Youtube (https://www.youtube.com/watch?v=9hUIxyE2Ns8) การนำเสนอการเปิดตัวสของ iPhone ของ Steve Jobs ที่นำเสนอภาษาอังกฤษ ซึ่งฟังไม่รู้เรื่องเลย แต่เมื่อนั่งดูจนจบก็มีความเข้าใจในสิ่งที่เขานำเสนอ จึงทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการเรียนรู่้ภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง "โดยจะเรียนรู้ผ่านเรื่องเรื่องราว วิธีคิด และการทำงานของ Steve Jobs"

!! นี่คือจุดเริ่มต้นการเรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างจริงจังของผม !!